by

"มาเลย์-อินโดฯ-สิงคโปร์" รับพิษลดค่าเงินหยวนจีน







ผ่านไปเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว หลังจากที่จีนปรับลดค่าเงินหยวนครั้งใหญ่ในรอบกว่า 2 ทศวรรษ ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจโลกและการเงินปั่นป่วนเป็นการใหญ่ ประเทศตลาดเกิดใหม่เป็นกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ต้องเผชิญภาวะผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนครั้งเลวร้ายที่สุด ตั้งแต่วิกฤตการเงินเอเชียปี 2540 
มรสุมค่าเงินรูเปียห์ 

ศรษฐกิจอินโดนีเซียในปีนี้ต้องเผชิญกับมรสุมหลายลูก ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมากที่สุดในรอบ 6 ปี และการส่งออกที่ซบเซา ค่าเงินรูเปียห์ต่อดอลลาร์ในปีนี้ดิ่งลงถึง 9.7% 

วอลล์ สตรีต เจอร์นัล ระบุว่า การลดค่าเงินหยวนของจีน มีแนวโน้มที่จะกระทบกับเศรษฐกิจอินโดนีเซีย 2 ทางด้วยกัน ได้แก่ 1) ทำให้สินค้าจีนสามารถตีตลาดอินโดนีเซียได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีราคาถูกลง และ 2) สินค้าโภคภัณฑ์ของอินโดนีเซีย ที่ส่งออกไปยังตลาดจีน เช่น ถ่านหินและน้ำมันปาล์ม จะมีราคาสูงขึ้นสำหรับผู้ค้าชาวจีน ซึ่งอาจส่งผลให้กำลังซื้อลดลง 

โดยที่ผ่านมา รัฐบาลอินโดนีเซียได้ดำเนินนโยบายเพื่อพยุงค่าเงินรูเปียห์มาแล้วหลายวิธี ทั้งการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนในประเทศบริโภคสินค้าในประเทศมากขึ้น ทั้งยังห้ามการใช้เงินสกุลต่างชาติทำธุรกรรมในประเทศ 

อย่างไรก็ตาม มาตรการรับมือทางเศรษฐกิจเพียงประการเดียว ที่รัฐบาลอินโดนีเซียลังเลที่จะเดินหน้ามากที่สุด คือการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่แน่นอนว่าจะทำให้ค่าเงินรูเปียห์แข็งขึ้น แต่อาจกระทบกับการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว 


มาเลย์ไร้แรงต่อกร







หนังสือพิมพ์เดอะ สตาร์ ระบุว่า มาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการลดค่าเงินหยวนมากที่สุด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ค่าเงินริงกิตต่อดอลลาร์ตกต่ำลงมากที่สุดถึง 23% และถือว่าเป็นสถิติที่ต่ำที่สุดตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 

เครดิต สวิส ระบุว่า การลดค่าเงินหยวนของจีนกระทบต่อภาคการส่งออกของมาเลเซียเป็นหลัก โดยค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงทำให้สินค้าจากมาเลเซียในตลาดจีนมีราคาแพงขึ้น โดยจีนถือเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของมาเลเซีย มีสัดส่วน 12.6% ของการส่งออกทั้งหมดของมาเลเซียในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558


"มาเลเซียอยู่ในสถานะที่ย่ำแย่ เนื่องจากการส่งออกส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาตลาดจีน โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์" เครดิต สวิสระบุ พร้อมเสริมว่า "มาเลเซียตอนนี้ไม่มีเครื่องมือทางเศรษฐกิจใดๆ ที่จะแก้ปัญหาการอ่อนค่าของเงินริงกิต โดยหากรัฐบาลมาเลเซียเลือกขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงค่าเงิน ก็จะยิ่งส่งผลกับเศรษฐกิจในวงกว้างมากขึ้น ในช่วงที่การบริโภคในประเทศชะลอตัว และหนี้ครัวเรือนสูงถึง 86% ต่อจีดีพี" 

เดอะ สตาร์ สรุปสถานการณ์เศรษฐกิจในมาเลเซียของปีนี้ว่า ต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ทั้งความไม่มั่นคงทางการเมือง ราคาน้ำมันที่ถูกลง และแนวโน้มที่สหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย สิ่งที่รัฐบาลมาเลเซียควรทำในตอนนี้คือ ปฏิรูปโครงสร้างประเทศ และลดดราม่าการเมืองลงเสีย


สัญญาณร้ายดอลลาร์สิงคโปร์

ด้านสิงคโปร์ แม้จะไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าประเทศอื่นในอาเซียน แต่การที่ค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์เริ่มส่อเค้าผันผวน ในช่วงที่จีนประกาศลดค่าเงินหยวน ก็ถือเป็นสัญญาณเตือนที่น่าระมัดระวังอยู่ไม่น้อย ค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์เมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์ อ่อนค่าลงถึง 11% 

ในช่วงปีที่ผ่านมา โดยเศรษฐกิจสิงคโปร์ในภาพรวมถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 0.2% ต่ำกว่าเป้าที่รัฐบาลตั้งไว้ 0.5% ส่วนกำลังซื้อยังดีอยู่ 

กลไกการทำงานของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของสิงคโปร์ที่ไม่เปิดเผยชัดเจน ทำให้นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่า น่าจะอิงอยู่กับเงินสกุลดอลลาร์และหยวน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น แนวโน้มที่รัฐบาลจีนจะลดค่าเงินหยวนลงอีกในอนาคต คงทำให้รัฐบาลสิงคโปร์ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป และต้องเตรียมออกมาปรับสมดุลระบบตะกร้าเงินตราในเร็ว ๆ นี้ 

ทั้งนี้ การที่เศรษฐกิจของอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ได้รับผลกระทบจากการปรับลดค่าเงินหยวน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของจีน และผลสืบเนื่องจากระบบเศรษฐกิจโลกต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค 


นอกจากนี้ ความผันผวนทางเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ยังสะท้อนให้เห็นการจัดการด้านนโยบายและช่องว่างทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจเป็นข้อบ่งชี้ถึงความพร้อมทางนโยบายหากอาเซียนจะประสานความร่วมมือ ทางเศรษฐกิจในระดับที่ลึกซึ้งขึ้นในอนาคต










ที่มา prachachat.net

0 comments:

Post a Comment